Friday, May 9, 2014
บันทึกรถไฟไทย ฉบับ รถไฟจะไปเมืองนอก
สมัยเด็ก เราคุ้นเคยกับการเดินทางด้วยรถไฟมาก เนื่องจากบ้านอยู่ใต้ การขึ้นกรุงเทพฯ ที่ปลอดภัยที่สุดในสมัยนั้น โดยเสียเงินแบบพอจ่ายได้ คือการนั่งรถไฟตู้นอนชั้นสองปรับอากาศ รถไฟจะออกจากหาดใหญ่ประมาณหกโมงครึ่ง (เย็น) และไปถึงกรุงเทพฯ ประมาณ 11 โมง (เช้า) ส่วนเที่ยวล่อง ออกจากกรุงเทพฯ ประมาณบ่ายสาม ถึงหาดใหญ่ประมาณ 7 โมงเช้ากว่าๆ ขอย้ำ เวลาที่บอกเป็นการประมาณ เนื่องจากรถไฟไทย แน่นอน คำขวัญคือ ถึงก็ช่าง ไม่ถึงก็ช่าง การช้ากว่ากำหนดเป็นเรื่องปกติสามัญ จนเริ่มสงสัยว่าแล้วไอเวลาที่ระบุตามตั๋ว ที่ไม่เคยทำได้นั้น ใครมันเป็นคนวัด วัดเมื่อไหร่ ควรจะเปลี่ยนได้แล้วหรือยัง เฮ้อออออ..... ถอนหายใจยาวๆ หนึ่งที
ครั้งที่ช้าที่สุดนี่ยังจำได้ เป็นคราวขึ้นกรุงเทพฯ เข้าใจว่ามีอุบัติเหตุทำให้รถไฟไปไม่ได้ สว่างมาตอนเช้า ปกติจะเข้าหัวหินละ ได้กินกาแฟ ปาท่องโก๋ ครั้งนั้นตื่นมา คุณพระ!! สถานีสุราษฎร์ธานี แล้วจอดรอเคลียร์เส้นทางจนสายกว่าจะได้แล่นต่อ จำได้ว่าลงไปเดินซื้อของกินที่หน้าสถานีด้วย เงียบเหงาสุดๆ เพราะสถานีรถไฟมันไม่ได้อยู่อำเภอเมือง ถ้าจำไม่ผิดจะอยู่ในเขตอำเภอพุนพิน ซึ่งเป็นอำเภอเล็ก พอออกเดินทางได้ คราวนี้ก็ไม่มีอะไรทำสิ กลางวันด้วย จะนอนก็ไม่หลับแล้ว สรุปมาถึงกรุงเทพฯ 2 ทุ่มกว่าได้ เมื่อยแบบสุดๆ ใช้เวลาเดินทางเกิน 24 ชั่วโมงอีก!!!
ประสบการณ์กับรถไฟสายใต้นี่ มีเยอะมาก ทั้งนั่งกับพ่อแม่ กับกลุ่มเพื่อน และล่าสุดคือการตะลุยเดี่ยวไปเมืองนอกนี่แหละ สมัยเด็กๆ เคยรู้สึกว่าพี่เจ้าหน้าที่รถไฟที่จัดตู้นอนนั้น เท่มากๆๆๆๆ เค้าจะมีแท่งเหล็กอันนึง เอาไว้ไขเตียงด้านบน แล้วเค้าก็จะจัดเก้าอี้นั่งให้กลายเป็นเตียงนอน เอาฟูกมาปู มีม่านด้วย เราปลื้มมากๆๆๆๆๆ (เล่าไปเล่ามา ดูต่างจังหวัดมาก ยอมรับ ก็โตมาต่างจังหวัดนี่นา) ตอนเดินทางกับเพื่อนก็สนุกดี แต่ก็เสียงดังได้ไม่มาก พอปูเตียงแล้ว ก็เหมือนบังคับกลายๆ ให้ทุกคนเข้านอนนั่นแหละ
สำหรับบันทึกครั้งนี้ เป็นการเดินทางรถไฟครั้งล่าสุดของเรา ซึ่งเราจองตั๋วรถไฟจากกรุงเทพฯ ปลายทางสถานี Butterworth ประเทศมาเลเซีย ความเจ๋งมันอยู่ตรงที่เราจะได้นั่งรถไฟข้ามประเทศ!! ปกติคือนั่งมาใต้สุดก็แค่หาดใหญ่นั่นแหละ เคยสงสัยมาตลอดว่ารถไฟมันไปยังไงต่อ เพราะรถนอนสายใต้ 1 วัน จะมี 2 ขบวนหลักที่วิ่งถึงหาดใหญ่ ขบวนแรกออกจากกรุงเทพฯ ก่อน แต่ถึงหาดใหญ่ทีหลัง เรียกว่ารถยะลา ตัวโบกี้จะเก่ากว่า ที่นอนแคบกว่า นอนไม่สบายเท่า ดังนั้น ถ้าใครจะนั่งรถนอน แนะนำให้จองรถอีกขบวน คือ รถบัตเตอร์เวิร์ธ จะดีกว่า แพงกว่านิดเดียว แต่สบายกว่ากันเยอะ ไอเจ้ารถบัตเตอร์เวิร์ธนี่แหละ ที่อยู่ในใจเรามานานแล้ว ว่ารถมันวิ่งไปถึงมาเลเซียเลยหรอ (วะ) การเดินทางครั้งนี้จึงเกิดขึ้น อ่อ...โบกี้รถบัตเตอร์เวิร์ธเรียกอีกชื่อว่าตู้ Daewoo นะ คือมันเป็นของยี่ห้อแดวู รู้สึกว่าไทยจะไปซื้อต่อของเกาหลีมา และตู้โบกี้เหล่านั้น ก็ยังให้บริการตั้งแต่เราเด็ก จนปัจจุบัน คุณพระ!! คุ้มค่าจริงๆ
อุตส่าห์จองตั๋วตั้งแต่เนิ่นๆ กะว่าจะนอนรถบัตเตอร์เวิร์ธแบบสบายๆ พอวันเดินทางปรากฏว่า ตู้ Daewoo เสียจ้า เลยต้องเอาตู้เก่ารถยะลามาใช้แทน ฮือ น้ำตาจะไหล เมื่อยแน่ๆ ฉัน ตอนตรวจตั๋วเจ้าหน้าที่ก็เลยต้องไล่คืนเงินส่วนต่างให้ทีละคน
เอาหล่ะ เราข้ามเรื่องโชคไม่ดีไป มาเล่าเรื่องทั่วๆ ไป เผื่อเป็นประโยชน์กับคนเดินทางคนอื่นๆ ดีกว่า
รถไฟขาล่องใต้ อย่างที่บอก มันจะออกจากกรุงเทพฯ ช่วงบ่ายๆ ก็กินข้าวกลางวันมาให้เรียบร้อย สำหรับมื้อเย็น ใครหิวเร็ว ก็จัดไป นครปฐม ประมาณ 4 โมงครึ่ง อีกที่ก็ราชบุรี 5 โมงครึ่งได้ ก็มี ‘เตี๋ยว’ ราดรี ที่นับได้ว่าเป็น It’s a must. อย่างหนึ่ง คือมันมีชื่อเสียงมาก ขายมานานมาก และล่าสุดขณะที่ข้าวที่นครปฐมขายกล่องละ 40 บาทแล้ว เตี๋ยวราดรียังคงยืนหยัดขายอยู่ที่กล่องละ 10 บาท เหมือนเดิม แต่ก็สมราคาหล่ะนะ ผู้ใหญ่วัยกำลังกินก็น่าจะต้อง 2-3 กล่องนั่นแหละ สัมภาษณ์คุณป้าที่นั่งตรงข้ามกัน ป้าบอกว่ามันไม่อร่อยเหมือนเก่าหน่ะลูก แต่ถ้าไม่เคยกิน ลองสักครั้งก็น่าสนใจมิใช่หรือ
เพชรบุรี เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยขายของแล้ว ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน แต่ก่อนมีชมพูเพชร ขนมหวานเพชร ขึ้นมาขายบนรถกันเลย คือ ขึ้นกันตั้งแต่ราชบุรี ไปลงเพชรบุรี อะไรแบบนั้น คิดว่าน่าจะเป็นเพราะการรถไฟเก็บค่าธรรมเนียมการขึ้นมาขายของแพง ตั้ง 300 บาท แหนะ ใครจะกินขนมหม้อแกงเพชร มีเจ้าหน้าที่รถไฟมาเดินขายอยู่ บอกว่าให้สั่งกับเค้า เดี๋ยวถึงเพชรบุรีจะเอาขึ้นมาให้ แต่ไม่มีขายบนรถแล้ว
ถึงหัวหิน จะประมาณพระอาทิตย์ตก (แล้วแต่ฤดูด้วย) เป็นสถานีที่คนขึ้นเยอะพอสมควร มีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติอยู่บ้างเหมือนกัน พอสัก 1 ทุ่มกว่า เจ้าหน้าที่ประจำตู้ก็จะเริ่มปูเตียงให้ (จริงๆ ถ้าใครมาด้วยกัน นอนเตียงฝั่งเดียวกัน อยากให้ปูที่นอนก่อน ก็บอกเค้าได้นะคะ แต่เท่าที่สังเกต จะเริ่มไล่ปูทุกเตียงประมาณทุ่มครึ่ง)
แต่มันไม่ใช่อ่ะ ยังเร็วไปที่จะนอน โอเค ทางเลือกเดียวของคุณคือ ไปตู้เสบียงค่ะ รถไฟระยะไกลแบบนี้จะมีอยู่ 1 โบกี้ มักจะอยู่กลางๆ ขบวน ที่เป็นตู้เสบียง คือมีครัว สั่งอาหาร เครื่องดื่มได้ จริงๆ จะมีเจ้าหน้าที่มาเดินตามแต่ละโบกี้ ให้คนสั่ง เพื่อให้เสิร์ฟและกินที่ที่นั่งเราได้เลย ตรงที่นั่งจะสามารถเอาโต๊ะมาประกอบ แล้วใช้กินข้าวได้ (อเนกประสงค์ไหมหล่ะ โบกี้รถไฟ) ราคาอาหารก็แน่นอน ต้องบวกเพิ่มนิดหน่อย แต่ก็ไม่ถึงกับน่าเกลียด เทียบกับราคาอาหารในห้างในกรุงเทพฯ เดี๋ยวนี้นะ
จำได้ว่า สมัยเด็กๆ เห็นตู้เสบียงเป็นตู้ไม่มีแอร์นะ แต่ปรากฏว่า ปัจจุบัน เป็นตู้ติดแอร์ไปแล้วจ้า ส่วนครัวเค้าก็ทำมิดชิดดี ไม่มีกลิ่นรบกวนคนนั่งเท่าไหร่ ถือว่าโอเค แต่โต๊ะที่นั่งในตู้เสบียงจะมีไม่มาก อาจจะต้องไปรวมๆ กัน ก็เป็นโอกาสที่ได้พูดคุย รู้จักกับเพื่อนใหม่ซะเลย ถ้ามีชาวต่างชาติก็ได้ฝึกพูดภาษาอังกฤษไปด้วยนะ ตู้เสบียงจะปิด 5 ทุ่ม ก็นั่งชิวๆ ได้จนง่วงนั่นแหละ
เช้าสักที สรุปว่ารถไฟไปเมืองนอกของเรา ช้า 2 ชั่วโมงนะจ๊ะ ถึงหาดใหญ่นี่ 9 โมงเช้า พอดีกำลังหิว ก็ได้ข้าวเหนียวไก่ทอดของเด็ดประจำถิ่น อิ่มไป
ที่สถานีหาดใหญ่ รถไฟจะมีการตัดบางตู้ออก คือ ผู้โดยสารส่วนใหญ่ ก็ลงที่หาดใหญ่นี่แหละ เป็นเหมือนชุมทางของคนใต้ หลายคนก็นั่งรถตู้ต่อไปต่างอำเภอ หลายคนก็ลง 3 จังหวัดชายแดนใต้ เพราะรถไฟจะออกจากประเทศไทยทางด่านปาดัง เบซาร์ (อำเภอสะเดา จังหวัดสงขลา) ไม่ผ่านปัตตานี ยะลา นราธิวาส ขบวนที่เรานั่งสรุปว่า มีแค่ 3 โบกี้ ที่จะได้ไปต่อ อ่อ มีการเปลี่ยนหัวรถจักรด้วยนะ เพิ่งมารู้ทีหลังว่า เปลี่ยนเป็นหัวรถจักรของมาเลเซีย
ออกจากสถานีหาดใหญ่ ระหว่างนั้น มีคนขึ้นมารับแลกเงินไทย-มาเลย์ ด้วย ใครไม่ได้แลกมา จะมาแลกตอนนี้เลยก็ได้ ไม่ถึงชั่วโมงก็ถึงด่านชายแดนไทย-มาเลเซียแล้ว ขั้นตอนก็คือ เมื่อรถไฟจอด ทุกคนก็ต้องนำกระเป๋าสัมภาระลงทุกคน เดินเข้าไปในตึก ต่อแถวผ่านพิธีศุลกากรของไทย ซึ่งยังคงใช้วิธีเขียนใบ Departure กับ Arrival ขนาดเราที่เป็นคนไทยก็ต้องกรอก เราว่ามันล้าสมัยเสียเหลือเกิน ปั๊มออกจากประเทศไทย ก็เดินลากกระเป๋าไปอีกฝากของอาคาร ต่อแถวผ่านพิธีศุลกากรของมาเลเซีย ยื่น passport อย่างเดียว แล้วเจ้าหน้าที่จะให้เราสแกนนิ้วชี้ทั้งสองข้าง เป็นอันเสร็จ ปั๊มตรา โอเค อยู่ในมาเลเซียได้ 30 วัน ต่อมามีโต๊ะให้เราวางกระเป๋า เจ้าหน้าที่จะให้เปิดกระเป๋า เท่าที่เราเห็นรู้สึกจะเปิดทุกใบเลย ฉะนั้นกรุณาจัดกระเป๋าดีๆ อย่าเอาเครื่องชั้นในมาไว้หน้าสุดหล่ะ มิฉะนั้น คุณอาจจะต้องอับอายได้ คุณป้าคนนึงเอามะม่วงสุกมา จะเอาไปฝากลูกชาย เห็นตอนแรกเจ้าหน้าที่จะไม่ให้เอาเข้า แต่ก็เถียงจนสำเร็จ เจ้าหน้าที่ยอม ป้าบอกทำไงได้ มะม่วงไทยอร่อยกว่าตั้งเยอะ ค่ะ..หนูไม่เถียงค่ะ จริง 100% ยิ่งมีข้าวเหนียวมูนนะคะ....โอ๊ย น้ำลายไหล เสร็จจากนั้นก็กลับขึ้นรถไฟเหมือนเดิม สิ่งที่เปลี่ยนไปมีแค่ พนักงานรถไฟของมาเลเซีย จะมาทำหน้าที่แทน มีคนตรวจตั๋ว มีเจ้าหน้าที่ประจำตู้มาขายน้ำชา กาแฟ ขนมปังปิ้ง เราไปยืนคุยกับพี่เค้าพักนึง พี่เจ้าหน้าที่รถไฟมาเลเซีย เป็นคนไทยค่ะ แล้วก็คุณน้ารถไฟไทย 2 คน ก็นั่งไปกับขบวนรถด้วย แต่ไม่ต้องทำงาน ก็เอาข้าวกลางวันมากินกัน ประมาณบ่ายโมง เวลาไทย ซึ่งเท่ากับ บ่ายสองของมาเลเซีย รถไฟก็ถึงสถานีปลายทาง เป็นอันจบประสบการณ์นั่งรถไฟไปเมืองนอกครั้งแรก ลง ณ สถานี Butterworth
เค้าบอกว่า ถ้าจะนั่งรถไฟต่อไปถึงกัวลาลัมเปอร์ หรือ สิงคโปร์ ก็ต่อรถไฟที่นี่ได้เลย น่ามาลองสักที ไว้โอกาสต่อไปค่ะ
Labels:
Butterworth,
writter,
มาเลเซีย,
รถไฟไทย
Subscribe to:
Post Comments (Atom)
No comments:
Post a Comment