Monday, March 31, 2014

เอ็ดเวิร์ด ทูเลน กับ โทเมเนเจอร์

"เอ็ดเวิร์ด ทูเลน ตามหาหัวใจไกลสุดฟ้า" หนังสือเล่มนี้ได้มาด้วยความสะดุดตาจากงานหนังสือ อ่านจบรอบแรก เรางงแฮะ คือเราตัดสินใจไม่ได้ว่าควรจะสงสารหรือหมั่นไส้เอ็ดเวิร์ดกันแน่ บางมุมเราดันคิดว่าคนเขียนเค้าตั้งใจให้เราหมั่นไส้เอ็ดเวิร์ดหรือเปล่าเนี่ย ไม่รู้เป็นที่อารมณ์ของเราตอนที่อ่านหรือเปล่า (ช่วงนั้นอาจจะมองโลกในแง่ร้าย)

พออ่านรอบต่อๆ มา ก็เริ่มเห็นใจเอ็ดเวิร์ดมากขึ้น แต่ชอบภาพประกอบของหนังสือเล่มนี้มาก มันละมุนละไมดีแท้ เหมาะกับการอ่านก่อนนอน มากๆ








ชั้นหนังสือไปอ่านกระทู้ๆ หนึ่งในพันทิพ พูดถึงหนังสือที่อ่านในรอบสัปดาห์ มีคนอ่านหนังสือเล่มนี้ฉบับภาษาอังกฤษ “The Miraculous Journey of Edward Tulane” อ่าว เล่มนี้นี่นา เค้าบอกว่าในซีรีส์เกาหลีเรื่อง  별에서 그대หรือ “You Who Came From the Star” ที่มีคิมซูฮยอนกับจอนจีฮุนนำแสดง คิมซูฮยอนแสดงเป็นโทมินจุน จับผลัดจับผลูมาเป็นผู้จัดการของดาราสาวชื่อดังชอนซงอีที่เล่นโดยจอนจีฮุน เราดูไปได้บางตอน ยังดูไม่จบเลยไม่รู้ทำไม แต่ในทวิตเตอร์นี่ดังมากทีเดียว พอซับไทยออก โทเมเนเจอร์ก็จะเต็มไทม์ไลน์ ในเรื่องโทเมเนเจอร์มีห้องสมุดส่วนตัวที่ใหญ่มากกกกกกกกก (me//อิจฉาขั้นสุด) ก็แน่ละนะ เค้าสะสมหนังสือมากว่า 400 ปี นี่นา ปรากฏว่ามีฉากโทเมเนเจอร์นอนอ่านหนังสือเรื่องนี้ (ฉบับแปลเกาหลีนะ แหมะ นึกว่าโทเมเนเจอร์จะอินเตอร์)


ไปหาข้อมูลเกี่ยวกับซีรีส์มาเพิ่มเติม เค้าบอกว่าโครงเรื่องหนังสือเล่มนี้เข้ากับนิสัยของโทเมเนเจอร์พอดีด้วย คนเขียนบทก็ใส่ใจรายละเอียดดีนะ จากซีรีส์มีบทพูดของโทเมเนเจอร์เกี่ยวกับกระต่ายเซรามิค (คุณเอ็ดเวิร์ดเป็นกระต่ายเซรามิคนะจ๊ะ ลืมบอกไป) โทเมเนเจอร์เปรียบตัวเองเป็นเหมือนเอ็ดเวิร์ดนี่เอง ที่ค่อยๆ เปิดใจรับคนอื่นเข้ามา









แต่มีบทพูดอีกอันหนึ่งที่โดนใจดีแฮะ เป็นตอนที่ยังปากแข็งอยู่ โทเมเนเจอร์บอกว่า


โทเมเนเจอร์ทำให้เราเริ่มเข้าใจเอ็ดเวิร์ดมากขึ้นนะ ที่ว่าทำไมเอ็ดเวิร์ดดูเย็นชา เย่อหยิ่ง มันคงเป็นระบบการปกป้องตัวเองของจิตใจของคนเรานั่นแหละ การทำเป็นไม่ใส่ใจจะทำให้เราเจ็บน้อยลง แต่ก็นั่นแหละ สิ่งที่แย่กว่าการต้องเจ็บซ้ำๆ ก็คือการสูญเสียศรัทธา เพราะเมื่อเราไม่มีความหวังและศรัทธาต่อสิ่งนั้นแล้ว เราไม่มีทางเดินต่อไปในเส้นทางนั้นได้อีก ยังไงก็ต้องถอย เหมือนว่าเอ็ดเวิร์ดกับโทเมเนเจอร์กำลังบอกให้เราต้องไม่สูญเสียศรัทธาในความรัก และปลายทางของทั้งสองเรื่องก็มีความสุขรออยู่ การรักษาศรัทธาและความหวังก็ดีอยู่หรอก แต่ไม่ค่อยตรงกับสถานการณ์ปัจจุบันของเราเท่าไหร่เลย


ความรักตอนนี้ไม่เป็นปัญหา แล้วถ้าเป็นศรัทธาและความหวังในเรื่องอื่นหล่ะ สักพักมานี้เรามีเรื่องที่ตัดสินใจเลิกทำ และพอมองกลับไปก็จะเกิดคำถามว่า จริงๆ เราน่าจะลองไปต่อหรือเปล่านะ ที่เราคิดว่ามันไม่ได้ ที่เราไม่มีความหวังในตอนนั้น มันเป็นสภาวะชั่วคราวของจิตอันไม่มั่นคงของเราหรือเปล่านะ ตอนนั้นคือรู้สึกเลยว่าเราสูญเสียความหวังที่จะประสบความสำเร็จไปแล้ว และอารมณ์ที่น่าหงุดหงิดในตอนนี้คือ ความคิดที่ว่า เราสูญเสียความหวังเร็วไปหรือเปล่านะ แต่เรื่องนี้คงไม่มีใครตอบได้ดีกว่าเรา เมื่อเราก้าวไปสู่การเดินทางก้าวใหม่แล้ว โลกใบใหม่กำลังรอเราอยู่ ครั้งนี้เราหวังว่าจิตใจเราจะเข้มแข็งพอที่จะไม่สูญเสียความหวังไปอีก

โพสต์นี้ดูเป็นลูกผสมยังไงๆ นะ ชั้นหนังสือก็แนะนำหนังสือเล่มหนึ่งนะ แถมด้วยซีรีส์เกาหลีอีกเรื่องหนึ่ง (ที่ชั้นหนังสือว่าต้องให้เครดิตคนเขียนบทแบบเยอะๆ เลยนะ เพราะบทของเรื่องนี้มันเต็มไปด้วยบทพูดที่น่าสนใจ) แต่ก็เป็นโพสต์ที่มีเรื่องเล่าส่วนตัว ราวกับไดอารี่ปรับทุกข์อยู่เยอะพอสมควร จัดหมวดหมู่ไม่ค่อยจะถูกเลย ไม่น่าเชื่อว่าหนังสือกับซีรีส์ที่เหมือนว่าจะเป็นสื่อเพื่อความบันเทิงจะทำให้เราย้อนคิดถึงชีวิต และสอนข้อคิดต่างๆ ให้กับเรา


เอ็ดเวิร์ดสอนเราอีกอย่างหนึ่งว่า สิ่งที่มีอยู่ย่อมมีคุณค่าเสมอ จงรับรู้ถึงคุณค่าเหล่านั้น ณ ขณะที่เรายังมีสิ่งนั้นอยู่ การรับรู้คุณค่าของสิ่งที่สูญเสียไปแล้วไม่มีประโยชน์หรอก ฉะนั้นใส่ใจคนที่คุณรักและรักคุณไว้ในทุกๆ วันเถิด


แถมท้ายด้วยข่าวเล็กๆ น้อยๆ จากฉากอ่านหนังสือของโทเมเนเจอร์ในซีรีส์ ปรากฏว่า ยอดขายหนังสือดังกล่าวในเกาหลีใต้พุ่งขึ้นทันที โทเมเนเจอร์นี่มีอิทธิพลไม่ธรรมดาเลย เมื่อวานก็มีแฟนมีตติ้งคิมซูฮยอนในไทยไป ไปส่อง tag มา คิมซูฮยอนดูเกรียนและขี้เล่นมากๆ ชั้นหนังสือว่าจะต้องมีคนไปตามหาหนังสือเล่มนี้ในงานสัปดาห์หนังสือที่กำลังจัดอยู่ตอนนี้ด้วยแน่ๆ เลย ฉบับแปลไทยจัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์เพ็ทแอนด์โฮม แต่ไม่รู้ว่าเค้าจะเอาหนังสือไปออกบูทด้วยหรือเปล่า เพราะก็ไม่ใช่หนังสือใหม่แล้ว ยังไงไปลองถามดูละกันนะ



Monday, March 17, 2014

จัดชั้นหนังสือ

วันนี้ได้กล่องใบใหม่มาไว้เก็บหนังสือ เลยทำการจัดชั้นหนังสือซะหน่อย เหมือนจะไม่ใช้เวลานานใช่ไหม แค่เอาหนังสือเรียงๆ กัน แต่ที่ทำให้นานก็คือ งานจัดชั้นหนังสือทำให้เราได้หยิบได้จับหนังสือบางเล่มที่ยังไม่ได้อ่าน อ่าวเฮ้ย! ฉันซื้อไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย บางเล่มที่อ่านไม่จบ เฮ้ยๆ เอาเล่มนี้ออกมาอยู่เด่นๆ เผื่อจะหยิบอ่านได้ง่าย เฮ้ย เรื่องนี้ไม่ได้อ่านนานแล้ว อยากอ่านซ้ำอีกรอบจัง แล้วก็วนๆ อยู่กับความคิด ความทรงจำโน่นนี่นั่นไป มันก็เพลิน แป๊บๆ อ๊ะ พระอาทิตย์จะตกดินแล้ว

นี่คงเป็นนิสัยของหนอนหนังสือหลายๆ คน เคยอ่านจากนิยายญี่ปุ่นเล่มนึง (น่าจะของโอตสึ อิจิ) ก็มีฉากเล่าถึงตัวละครที่เป็นคนบ้าอ่านหนังสือมาก ถ้าเครื่องติด (คืออ่านติดพัน) แล้วจะไม่ยอมลุกไปไหน ในเรื่องเหมือนว่าตัวละครเอาหนังสือมาฝากเก็บทีห้องน้องชาย เพราะห้องตัวเองไม่มีที่เก็บแล้ว ปรากฏว่าตอนเก็บๆ เข้าชั้น ก็เผลอนั่งอ่านหนังสือเล่มที่ไม่ได้อ่านมานานเพลิน จนน้องชายคุยด้วยก็ไม่ได้ยิน ตัวเราวันนี้ก็เกือบจะประมาณนั้นแหละ

ความสำเร็จของการจัดหนังสือวันนี้ ก็เลยจัดมา 3 เล่ม ที่ ยังอ่านไม่จบกับยังไม่เคยอ่าน  เป็นนิยายจีนกำลังภายในเสีย 2 เล่ม นิยายจีนกำลังภายในเป็นหมวดนิยายที่เราไม่ค่อยได้ซื้อเก็บเป็นชิ้นเป็นอัน เพราะมันยาวเป็นมหากาพย์ 20-30 เล่ม ก็ไม่ไหวกำลังกระเป๋าสตางค์ไหมหล่ะ ได้อ่านจากห้องสมุดโรงเรียน และมหาวิทยาลัย ซะมากกว่า เรารักห้องสมุดโรงเรียนสมัยประถมกับมัธยมมากเลย เราว่าทั้ง 2 ที่ เป็นจุดเพาะพันธุ์นักอ่านคนนี้เลย ไว้ว่างๆ จะมาเล่าให้ฟัง มีวีรกรรมกับห้องสมุดเยอะ

อีกเล่มเป็นนิยายของ Paulo Coelho เรื่อง Veronika decides to die หรือ เวโรนิกาขอตาย ที่ตอนนี้ทำให้เราเกิดความอยากอ่านหนังสือเป็นภาษาอังกฤษดูอีกสักที เป้าหมายตอนนี้คือ The Alchemist ที่เป็นผลงานสร้างชื่อมีรางวัลการันตีซะด้วย จดอยู่ในลิสต์งานหนังสือรอบนี้แล้ว ปีนี้เศรษฐกิจฝืดเคือง สงสัยจะใช้จ่ายน้อย จริงๆ คือ นิสัยเสียไป เล่มที่ซื้อคราวที่แล้วยังอ่านไม่หมดเลยจ้า


ขอตัวไปอ่านหนังสือแล้ว.............ราตรีสวัสดิ์ค่ะ



ปล. ขอแก้ไข entry เรื่องหนังสือของ Harlan Cohen นะคะ ลืมไปเล่มนึง (ซึ่งเราก็มี เคยอ่านแต่จำไม่ได้) เป็นเล่มใหม่ล่าสุดด้วยนะ ก็เลยไปใส่ชื่อเรื่องเพิ่มค่ะ



Wednesday, March 5, 2014

โลกกว้างคือห้องเรียน

ปกติไม่ได้เขียนบันทึกเป็นประจำค่ะ เคยทดลองนะ แต่ไม่สนุก แล้วก็ลืมเขียนอยู่เรื่อย ก็เลยเลิกบังคับตัวเองที่จะต้องเขียนบันทึกทุกๆ วัน

ตอนนี้ใช้วิธีเขียนบันทึกเล่าการเดินทางเฉพาะเวลามีทริปไปเที่ยว คือเหมือนเขียนไดอารี่แหละ แต่เขียนเฉพาะช่วงที่ไปเที่ยวที่ต่างๆ ตะกี้เอาสมุดขึ้นมาดูก็เห็นอะไรอย่างหนึ่งที่ทำให้เกิดอยากจะโพสต์ลงใน blog นี้ ถือว่าเป็นมุมความเป็นนักเขียนของชั้นหนังสือก็แล้วกัน ว่าจะแยก categories ไว้ เป็น หมวด writer

อันที่จริง ทุกวันนี้ เราเอาเรื่องที่อยากเขียน อยากบ่น ไปเพ้อเจ้ออยู่ใน twitter นะ เป็นมุมที่ไม่ต้องกังวลดีว่าจะทำให้คนจำนวนมาก (อย่าง friend ใน facebook) เห็น และเกะกะ timeline เป็นพื้นที่ของการติ่งเกาหลีอย่างไม่ต้องกังวลว่าคนที่ไม่ชอบเกาหลีจะรำคาญ ตอนแรกจะพิมพ์เนื้อเรื่องของวันนี้ใน twitter แล้ว แต่ทำไปทำมา ท่าทางจะยาวโข เลยเปลี่ยนใจมาลงเป็นโพสต์ดีกว่า

ตอนนั้น จดบันทึกเรื่องการไปเที่ยว จ.น่าน ไว้ เป็นทริปหน้าหนาวต้นปีกับครอบครัว นั่งเครื่องบินไปเชียงใหม่ แล้วขับรถไปน่าน จองที่พักเองจาก facebook ของ guesthouse ซึ่งประทับใจมากกกกกกกก... เจ้าของเป็นคุณครู อัศยาธัยดี ดูแลเราตลอด ชื่อ เฮีอนน่านนิทรา ถือว่าแนะนำต่อได้ทีเดียว

ตัวเมืองน่าน ก็ง่ายๆ จริงๆ มีให้เที่ยวก็คือวัด ในเขตเมืองเดินๆ เล่น ชมเมือง ชมวัด เป็น one day trip แบบชิวๆ ขับรถรอบเมืองก็แป๊บเดียวทั่วแล้ว เค้ามีการทำแผนที่เที่ยวเมืองไว้ด้วย เราก็เลยขับรถตามรอย สรุป ทั้งวันเที่ยวได้ตั้ง 10 วัด ดีใจได้มากราบพระธาตุแช่แห้ง พระธาตุประจำปีเกิด (ปีเถาะ) เป็นครั้งแรก (นี่ใบ้อายุนะเนี่ย)



หนึ่งในบรรดาวัดที่ได้ไป มีวัดหนึ่ง คือ วัดมหาโพธิ์ มีความพิเศษเป็นที่จดจำ ในวัดประดิษฐานพระพุทธรูปไม้ ปางประทับยืน มีเรื่องเล่าถึงความศักดิ์สิทธิ์ เมื่อวิหารเดิมถูกไฟไหม้ พระพุทธรูปองค์นี้กลับไม่เป็นอะไรเลย แถมท้ายด้วยการมีส่วนร่วมของชุมชน โดยมีแม่อุ้ยมาต้อนรับ มีเด็กๆ น้องๆ มาฟ้อนแง้น ให้ได้ชมกัน

เพราะฟ้อนแง้นที่ได้ชมหน้าวัดมหาโพธิ์นี่แหละ ทำให้เราได้ความรู้ว่า ภาคเหนือมีการฟ้อนรำแบบ ค่อยๆ แหงน (หรือแง้น ในภาษาถิ่นเหนือ) หน้าและตัว ลงไปด้านหลัง จนมือแตะพื้น คล้ายๆ สะพานโค้ง แบบนั้น น้องๆ เค้าแง้นจนใช้ปากเก็บเงินที่อยู่บนพื้นได้เลย ตัวอ่อนอะไรขนาดนั้นลูก พี่ละเสียวแทน ขนาดแค่นั่งนึก ภาพก็ยังชัดเจนในความทรงจำ เก่งแบบปรบมือให้เลย

ที่เค้าว่าการเที่ยวคือการเรียนรู้โลกกว้าง ก็คงจะจริง เพราะปรากฏว่า ข้อสอบโอเน็ตปีนี้ มีข้อหนึ่ง เอารูปการฟ้อนแง้น มาถามว่า เป็นของภาคใด แหม ถ้าได้ไปทำข้อสอบ ก็คงจะตอบได้โดยพลัน เสียดายอยู่นิดเดียว เรามันรุ่นเอนทรานส์ ตัดตัวเลขเลือก 4 อันดับ (ไม่นิดแล้วมั้งเนี่ย อายุห่างจากน้องๆ ที่สอบปีนี้ไปหลายช่วงตัวแล้ว)

หลังจากข้อสอบออก เห็นมีน้องๆ เอาข้อสอบมาถามกันมากมาย ข้อฟ้อนแง้นนี้ก็มีคนตอบผิดเยอะ โดยเฉพาะถ้าไม่ได้เป็นคนเหนือ วันนั้น twitter ดูจะมีสาระจาก #สาระโอเน็ต timeline ไหลเป็นสายน้ำ และทำให้ป้าคนนี้ นึกมาได้ว่า เราก็เคยได้ดูฟ้อนแบบนี้นี่นา จดบันทึกไว้อยู่เลย วันนี้เพิ่งหาเจอ หยิบสมุดมาอ่านอีกที เป็นอีกหน้าความประทับใจที่ได้จากเมืองน่าน

เสียดายไม่ได้ถ่ายเป็นคลิปไว้ แต่ไปเจอมาใน youtube เข้าไปดูจาก ตรงนี้ เลยจ้ะ




.............................เพราะโลกกว้างคือห้องเรียน


Sunday, March 2, 2014

Japanese 'And Then There Were None'

เมื่อคืนนอนไม่หลับค่ะ โพสต์นี้จึงเกิดขึ้นอย่างปัจจุบันทันด่วน จากสาเหตุที่นอนไม่หลับนี่แหละ หลังจากเล่น Cookie Run จนหมดใจ (ได้ล้านแต้มแล้วจ้า อวดๆ ฮ่าๆๆๆๆๆๆ) ดันเกิดอาการนอนไม่หลับ คิดมากโน่นนี่นั่นไปเรื่อย ไม่ไหวละ ลุกไปหยิบหนังสือบนชั้นมาอ่าน อันนี้เป็นนิสัยส่วนตัว เวลานอนไม่หลับ จะหยิบหนังสือเก่าๆ ที่มีอยู่ มาอ่านซ้ำ กวาดนิ้ว (และตา) ไปตามชั้นหนังสืออยู่สองรอบ ก็ตกลงว่าเอาเล่มนี้ละกัน

เวลาอ่านหนังสือกลางดึก เมื่อนอนไม่หลับ ปกติจะทำใจสบายๆ ว่า อ่านไปเรื่อยๆ เบื่อก็หยุด ง่วงก็พอ เพราะอ่านให้นอนหลับได้แค่นั้น แต่ก็มีหลายครั้งที่สุดท้ายแล้ว ก็อ่านไปๆ จนจบเล่มอยู่ดี (อย่าตกใจที่อ่านหนังสือเร็ว คือ มันไม่ใช่รอบแรกอยู่แล้วด้วย ทำความเร็วได้ บางหน้าก็กวาดๆ ตา อ่านเฉยๆ) เมื่อคืนก็เป็นอีกครั้งหนึ่ง

รู้จัก ‘And then there were none’ หรือ และแล้วก็ไม่เหลือใคร ไหม ชั้นหนังสือคิดว่าหลายคนต้องรู้จัก หรือไม่ก็คุ้นกับชื่อนี้ นิยายเรื่องดังกล่าวเป็นหนังสือของอกาธา คริสตี ราชินีนิยายสืบสวนสอบสวน ดัดแปลงมาจากเพลง [ลองคลิกที่ลิ้งก์ตรงคำว่าเพลงสิ มีเพลงให้ฟังอยู่นิดนึง แถมด้วย trailer ของภาพยนตร์ที่สร้างจากนิยายเรื่องนี้] เกี่ยวกับเด็กอินเดียนแดง ที่มีเด็ก 10 คน ค่อยๆ ตายไปทีละคน ต่างสาเหตุกัน จนสุดท้ายตายทั้งหมด ในเรื่องก็เป็นการรวมตัวกันของคนหลากหลาย ต่างที่มา 10 คน แล้วเกิดเหตุฆาตกรรมขึ้นทีละรายๆ คนที่เหลือคนสุดท้ายได้ฆ่าตัวตาย แต่เรื่องก็มาปิดท้ายที่คำสารภาพของฆาตกร ไม่อยากเล่ารายละเอียดเลย เพราะ และแล้วก็ไม่เหลือใคร ของคุณป้าอกาธาก็เป็นหนังสือที่น่าอ่านอีกเล่มหนึ่งเช่นกัน ประมาณว่า คุณจะบอกว่าคุณเป็นคอนิยายนักสืบไม่ได้เลย ถ้าไม่เคยอ่าน และแล้วก็ไม่เหลือใคร ของคุณป้าอกาธา 

แต่เราจะเขียนถึง และแล้วก็ไม่เหลือใคร ที่ไม่ใช่นิยายฝรั่งนี่นา เราจะเขียนถึงนิยายญี่ปุ่นต่างหาก และแล้วก็ไม่เหลือใคร เล่มที่จะพูดถึงนี้ เขียนโดย อิมะมุระ อายะ นักเขียนหญิงชาวญี่ปุ่น

เราคิดว่าคุณอายะ ใจกล้า มากทีเดียว ที่นำเอา และแล้วก็ไม่เหลือใคร มาย่อยและสร้างสรรค์ใหม่ในแบบของเธอ คือเธอก็เป็นผู้หญิง แต่กลับนำเอา และแล้วก็ไม่เหลือใคร ของคนที่ถูกยกย่องว่าเป็นราชินีนิยายสืบสวนสอบสวน มาโยงด้วย ถ้าแต่งไม่ดี มันอาจจะกลายเป็นการลอกเลียนโครงเรื่อง ซึ่งไม่ทำให้เกิดอะไรใหม่ๆ




และเพราะความเจ๋งจริงของโครงเรื่องนี่แหละ ที่ทำให้เราอ่าน และแล้วก็ไม่เหลือใคร ของคุณอายะแบบวางไม่ลง ปมฆาตกรรมที่ผูกขึ้นอ่านแล้วดูเป็นญี่ปุ๊น ญี่ปุ่น ยังไงก็ไม่รู้ และถึงแม้เราจะเคยอ่าน และแล้วก็ไม่เหลือใคร ของคุณป้าอกาธามาแล้ว เราก็ถูกคุณอายะ ดึงไปดึงมา จนชักหลงว่าแล้วตกลงใครเป็นคนดี ใครเป็นคนร้ายกันแน่ แต่ที่แน่ๆ อ่านจบ เกิดอาการขนลุกซู่ขึ้นมาทีเดียว 

อดไม่ได้ที่จะพูดถึงสำนักพิมพ์ที่พิมพ์หนังสือเล่มนี้หน่อย เสียดายนะ ตอนนี้ สำนักพิมพ์เลิกทำไปแล้ว Bliss เป็นจุดเริ่มต้นของการอ่านนิยายแปลภาษาญี่ปุ่น (เริ่มต้นจากเดอะริง) เป็นบูทที่แวะทุกครั้งเมื่อไปงานหนังสือที่ศูนย์สิริกิติ์ เพื่อถามหาหนังสือเล่มใหม่ๆ ของนักเขียนที่ติดใจ อย่างนิยายของคุณอายะ เราก็ได้อ่านอยู่ 3 เล่ม และชอบทุกเล่ม

ในหมวดนิยายแปลภาษาญี่ปุ่น ชั้นหนังสือของเราจะเป็นหนังสือแนวสืบสวน ลึกลับ ฆาตกรรม ซับซ้อนพลิกผัน ซะเป็นส่วนใหญ่ และเราว่าเรื่องแนวนี้นักเขียนญี่ปุ่นทำได้ดีจริงๆ กลิ่นอายแบบญี่ปุ่นมันจะลอยโชยเด่นชัดออกมาจากตัวหนังสือเลย อา...หิวเทมปุระ !!!!!! เกี่ยวไหม

ใครอยากระทึกขวัญ ตื่นเต้น แต่ผสมด้วยความหวานแบบญี่ปุ่นๆ ก็ลองหานิยาย JBook ชุด Suspense ของ Bliss มาอ่านกันดูนะ




สำหรับวันนี้ขออนุญาต さよなら 



Saturday, March 1, 2014

แปดสองสี่

เนื่องจากวันนี้เป็นวันหวยออกสินะ ชั้นหนังสือถึงเปิดมาด้วยเลขท้ายสามตัว ไม่ใช่แล้ว...ที่นี่ยังเป็น blog เกี่ยวกับหนังสืออยู่ จะให้เปลี่ยนทางไปใบ้หวยก็คงจะถูกกินตลอดๆ นี่เป็นคนที่ไม่มีดวงกับการเสี่ยงโชคอย่างแท้จริง     จับฉลากของขวัญวันปีใหม่ก็ได้คุกกี้กล่องกลมแดง (คือไม่ต้องห่อก็ได้มั้ง ไม่ได้ลุ้นในการแกะห่อของขวัญเลย) สอยดาวก็ได้ปากกา ผงซักฟอก อะไรทำนองนั้น ชั้นหนังสือขอแนะนำหนังสือต่อไปละกัน เอาหล่ะ เข้าเรื่อง

ผู้เขียนหนังสือของวันนี้คือคุณงามพรรณ เวชชาชีวะ ชื่อคงคุ้นหูกันอยู่บ้าง คุณงามพรรณได้รับรางวัลซีไรต์จาก ความสุขของกะทิแต่มีหนังสือของคุณงามพรรณเล่มหนึ่ง ที่ชั้นหนังสืออยากมาแนะนำให้รู้จัก





มีหนังสือหลายต่อหลายเล่ม รวมทั้งบทความต่างๆ บรรยายถึง ซอย” 824 ก็เป็นเรื่องของซอยๆ หนึ่ง
ชื่อซอยอยู่สบาย คำภาษาไทยที่ว่า
ซอยเราว่าไม่มีคำตรงกันในภาษาอังกฤษ คือ เค้าก็มีคำว่า alley, lane, small street อะไรก็ว่าไป แต่มันไม่แสดงภาพความเป็นซอยเท่าไหร่ หรือเพราะชาวตะวันตกไม่ได้มีวัฒนธรรมการอยู่ซอยเดียวกันอย่างที่คนไทยคุ้นเคยก็เป็นได้ ซอยมันเป็นมากกว่าสภาพภูมิศาสตร์ แต่มันมีสังคม                มีครอบครัว มีเสียงดัง มีแสงไฟ และก็มีเรื่องเล่า ทำให้เรารู้สึกว่าความเป็น ซอยในบริบทของภาษาไทยเป็นภาพที่มีชีวิตและมีความเคลื่อนไหว

824 เป็นเรื่องเล่าของคนในซอยเล็กๆ ที่มีสีสันและความหลากหลาย ที่เคยอยู่อย่างธรรมดาๆ เหมือนว่าความเคลื่อนไหวในแต่ละวันในซอยอยู่สบายจะไม่มีอะไรแตกต่างกัน แต่แล้วเหตุการณ์ใน 24 ชั่วโมง – 1 วัน ก็เกิดขึ้นและกลายเป็นเวลาที่ไม่ธรรมดาของคน (และสัตว์) ในซอย ที่ร้อยเรียงต่อกัน การกระทำหนึ่งๆ อาจจะมีผลกระทบต่อผู้คนใกล้ตัวอย่างได้อย่างไม่น่าเชื่อ นั่นแหละคือเหตุผลว่าทำไมต้อง 824

หนังสือเล่มนี้บทสนทนาน้อยมาก ส่วนใหญ่เป็นบรรยายโวหาร เป็นหนังสือที่ทำให้เราได้ใช้จินตนาการสร้างภาพซอยอยู่สบายและผู้คนในซอยขึ้นมาเอง แม้ว่าโดยส่วนตัว เราไม่เคยอยู่ในสังคมซอยหรอก (เป็นเด็กที่เติบโตมาพร้อมพื้นที่เล่นกว้างขวาง เขา น้ำตก ต้นไม้ และอ่างเก็บน้ำ // ขอบคุณพ่อแม่) แต่อ่าน 824 แล้วก็นึกภาพออกนะ เพราะมันดูเป็นซอยแบบไทยๆ อย่างที่ว่าก็ได้มั้ง

ตัวละครโปรดของเราในเรื่องนี้คือ มอมแมม ชื่อแปลกใช่ไหม ใช่แล้วหล่ะ มอมแมมเป็นหมาข้างถนน (เราเป็น  ทาสหมาเล็กๆ ในที่นี้หมายความว่ารักหมานะ ไม่ได้ตกเป็นทาสขนาดปฏิบัติกับหมาราวกับจะพรากธรรมชาติความเป็นหมาไปจากมัน อย่างที่เห็นคนในสังคมบางกลุ่มทำกัน) มอมแมมเป็นหมาไทยพันธุ์ผสม ที่เรามักจะเห็นพวกมันถูกทิ้งเป็นหมาข้างถนนแหละ มอมแมมมีแววตาฉลาด ไม่ใช่ฉลาดแบบแสนรู้และทำอะไรได้ตามที่คนคาดหวัง แต่เป็นแววฉลาดหมายรู้ที่เหมือนว่ามอมแมมเข้าใจโลก เข้าใจมนุษย์เราชอบคำบรรยายนี้มาก เพราะเราเคยมีหมาตัวนึง ที่เป็นแบบนี้เลย หมาไทยหน่ะ มันไม่ได้ฉลาดแบบ บอกขอมือก็ให้มือ บอกนอนก็นอน บอกกลิ้งก็กลิ้ง แต่มันฉลาดแบบเข้าใจเรา เข้าใจอารมณ์เราว่าวันนี้อารมณ์ดีนะ วันนี้อารมณ์เสีย เราเลยตกหลุมรักมอมแมมโดยง่าย อีกอย่าง มอมแมมทำให้เราคิดถึง มอม ตัวละครจากนิยายอีกเรื่องหนึ่ง ที่หลายๆ คนน่าจะรู้จัก ผลงานของ ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช

ตัวละครอื่นๆ ก็ประทับใจนะ อย่างมอมแมมเป็นหมา เรื่องของมอมแมมก็เลยเรียบง่าย แต่พอเป็นตัวละครที่เป็นมนุษย์ แต่ละตัวก็จะมีความซับซ้อนในแบบของมนุษย์ ความซับซ้อนในเรื่องสถานะของบุคคล เรื่องอดีต เรื่องความรัก เรื่องความฝัน รวมตัวกันเป็นส่วนผสมที่ลงตัวและอ่านสนุก เป็นหนังสือที่ชอบมากเล่มหนึ่งเลย

เรื่องแปลกอย่างหนึ่งของ 824 คือ หนังสือเอาคำนิยมที่ปกติอยู่ต้นเล่ม มาไว้ท้ายเล่มซะอย่างนั้น อันนี้จากพิมพ์ครั้งที่ 1 นะ เออ การได้ซื้อหนังสือตั้งแต่พิมพ์ครั้งที่ 1 นี่ มันเท่ไม่หยอกนะ ดูเหมือนเราเป็นคนกลุ่มแรกๆ ที่ได้อ่านและทำความรู้จักหนังสือเล่มนั้นๆ เลย


ขอให้มีความสุขกับการอ่านและวันหยุด