Tuesday, July 29, 2014
ยมทูต
หนังสือที่จะมาเล่าให้ฟังวันนี้เป็นเล่มที่เล่าเรื่องเกี่ยวกับยมทูต พอดีช่วงนี้ฝนตกบ่อย เลยนึกถึงเล่มนี้ขึ้นมา
พอพูดถึงคำว่า ยมทูต คนเรามักจะนึกภาพเป็นอย่างไรนะ สำหรับเรา ก่อนอ่านเล่มนี้ ภาพลักษณ์ของยมทูตค่อนข้างจะโหดๆ มีเขี้ยว มีหัวกะโหลก ประกอบกับ ยมทูตที่รู้จักในการ์ตูนญี่ปุ่น เดธโน้ต ก็ออกจะฮาร์ดคอ และแฟนตาซีเหลือเกิน มีปีกงี้ หน้าตาน่ากลัวอีก ทำให้เรารู้สึกว่าคนญี่ปุ่นน่าจะมองยมทูตเป็นแบบแฟนซีๆ หน่อยนึงป่ะ ประหลาดใจเล็กน้อยที่ยมทูตในหนังสือชื่อ SHINIGAMI NO SEIDO ที่ชื่อไทยก็แปลออกมาตรงตัวเลย คือ ไม้บรรทัดของยมทูต ของคุณ Isaka Kotaro มาในรูปลักษณ์ที่แตกต่างออกไป
ยมทูตตัวเอกของเรื่อง ชื่อ ชิบะ หน้าตาเขาเหมือนกับมนุษย์ธรรมดาทั่วไป และยังเปลี่ยนไปทุกครั้งที่ออกมาทำงาน (ในที่นี้ก็คือประเมินความตายของมนุษย์) ในคำนำสำนักพิมพ์กล่าวไว้ว่า คุณอิซากะเขียนหนังสือมีสไตล์ และ เท่ ซึ่งเราเห็นด้วยมากเลย ส่วนคำนำสำนักพิมพ์กับคำนำผู้แปลนี่ก็เป็นส่วนที่น่าสนใจในหนังสือแต่ละเล่ม สมัยเด็กๆ เรามักข้าม ไม่อ่านคำนำด้วยแหละ เหมือนว่าเป็นใครก็ไม่รู้ ไม่เห็นเกี่ยวข้องกับเนื้อหาในเล่ม แต่พอโตขึ้นมา เรากลับนึกชอบอ่านคำนำ และรู้เลยว่าเป็นเรื่องท้าทายมากที่จะเขียนคำนำให้น่าสนใจ จะว่าไปตรงคำนำก็เป็นข้อความเดียวที่ผู้แปลสามารถใส่ตัวตนของตัวเองลงไปในถ้อยคำได้อย่างเต็มที่ เพราะส่วนที่เป็นเนื้อเรื่องที่แปลย่อมถูกจำกัดอยู่ภายใต้ความคิดของคนอื่น
ยมทูตชิบะของคุณอิซากะ เท่ มีสไตล์ไม่ซ้ำใครจริงๆ นะ ไม่รู้จะเขียนยังไงให้ไม่สปอยเนื้อเรื่องเหมือนกัน แต่ปลื้มกับความคิดของยมทูตชิบะมาก เขาคือชายผู้มากับสายฝน และจริงจังกับการทำงาน ในเล่มจะเป็นตอนย่อยๆ เล่าการทำงานแต่ละครั้งของยมทูตชิบะ ผู้คน สถานการณ์ที่เข้ามาในแต่ละตอนก็แตกต่างกันไป บางตอนก็ดูเป็นเรื่องรักโรแมนติก บางตอนก็เป็นนิยายสืบสวน บางตอนก็เหมือนให้กำลังใจ สรุปก็คือชอบเลยหล่ะ เป็นอีกเล่มที่หยิบอ่านบ่อย แล้วก็เทียวไปถามหาว่านิยายของคุณอิซากะมีแปลเพิ่มอีกไหม แต่ยังไม่สมหวัง ยังไม่มีเล่มอื่นๆ ออกมาอีก... รอต่อไป
เขียนในวันที่ฝนพรำ (แต่ร้อน) นี่แหละ เมืองฟ้ามหาอมร!!
Thursday, July 24, 2014
Mickey Haller
ขออภัยที่หายไปนาน ช่วงนี้เริ่มมีเวลาเอาหนังสือเก่าๆ มาอ่าน ย้อนความประทับใจก่อนที่จะต้องห่างบ้านไปอีกครั้ง และทำให้ไม่สามารถหยิบเอาหนังสือของตัวเองออกมาจากชั้นหนังสือมาอ่านแก้เหงาได้
หนังสือบางเล่มก็แปลกนะ อ่านรอบแรก ไม่ค่อยสนุกเท่าไหร่ แต่พอได้เอามาอ่านซ้ำ เออ มันสนุกขึ้นแฮะ หนังสือชุด 2 เล่ม ของ Michael Connelly เป็นเช่นนั้น
2 เล่มนี้ มีตัวเอกคนเดียวกัน คือ คุณทนายความคดีอาญามิกกี้ ฮาลเลอร์ ผู้เรียกตัวเองว่าเป็น Lincoln's Lawyer ชื่อเดียวกับเล่มแรก เจ้ารถ Lincoln นี่ จะออกแนวหรูๆ ดูอาเสี่ยขับนิดนึง
เนื้อหาเกี่ยวข้องกับระบบการพิจารณาคดีอาญา เราค่อนข้างห่างไกลกับระบบคดีอาญา และระบบของประเทศอเมริกาก็เป็นอะไรที่ห่างตัวไปอีก อ่านแล้วได้สาระเยอะทีเดียว และได้ยอมรับกับความจริงที่ว่า โลกกฎหมายอันอุดมคติที่รวดเร็ว เป็นธรรม นั้น มันอุดมคติจริงๆ นั่นแหละ ถ้าเป็นเด็กจบกฎหมายมาใหม่ๆ สมองเต็มไปด้วยหลักการและตัวบท คงจะรู้สึกแย่ๆ แต่เราก็เลยจุดนั้นมาแล้ว และคิดว่า สีขาวสีดำ มันไม่มีจริง ก็แค่ เทาๆ อย่างงั้นก็เถอะ ยังพยายามจะเป็นสีอ่อนที่จะหยดลงไปในสีเทาให้มันเทาอ่อนลงมา มากกว่าจะเป็นสีเข้มที่ทำให้ความเทามันเพิ่มขึ้นอยู่นะ
ชักจะเครียดเกินไป แต่หนังสือนี้ก็เป็นเรื่องเครียดๆ อะนะ มุกตลกก็น้อย แถมยังอาจจะเฉพาะกลุ่มเกินไปอีก อ่านแล้วจะลุ้นไปกับปมที่คนเขียนหลอกล่อ และตื่นเต้นกับบทสรุปที่คาดเดาไม่ถึง เป็นหนังสือที่ต้องค่อยๆ ตั้งใจอ่าน ไม่งั้นจะงง แต่พอถึงจุดเครื่องติด เราก็อ่านรวดเดียวไม่หลับไม่นอนอีกเช่นเคย แถมต้องใช้เวลาอ่านหลายรอบ ถึงจะสนุกอีก นี่ชักไม่แน่ใจว่าเขียนชวนให้อ่าน หรือชวนให้หนีกันแน่
ชั้นหนังสือ mode I love Mr.Green (or grey in Thailand)
หนังสือบางเล่มก็แปลกนะ อ่านรอบแรก ไม่ค่อยสนุกเท่าไหร่ แต่พอได้เอามาอ่านซ้ำ เออ มันสนุกขึ้นแฮะ หนังสือชุด 2 เล่ม ของ Michael Connelly เป็นเช่นนั้น
2 เล่มนี้ มีตัวเอกคนเดียวกัน คือ คุณทนายความคดีอาญามิกกี้ ฮาลเลอร์ ผู้เรียกตัวเองว่าเป็น Lincoln's Lawyer ชื่อเดียวกับเล่มแรก เจ้ารถ Lincoln นี่ จะออกแนวหรูๆ ดูอาเสี่ยขับนิดนึง
เนื้อหาเกี่ยวข้องกับระบบการพิจารณาคดีอาญา เราค่อนข้างห่างไกลกับระบบคดีอาญา และระบบของประเทศอเมริกาก็เป็นอะไรที่ห่างตัวไปอีก อ่านแล้วได้สาระเยอะทีเดียว และได้ยอมรับกับความจริงที่ว่า โลกกฎหมายอันอุดมคติที่รวดเร็ว เป็นธรรม นั้น มันอุดมคติจริงๆ นั่นแหละ ถ้าเป็นเด็กจบกฎหมายมาใหม่ๆ สมองเต็มไปด้วยหลักการและตัวบท คงจะรู้สึกแย่ๆ แต่เราก็เลยจุดนั้นมาแล้ว และคิดว่า สีขาวสีดำ มันไม่มีจริง ก็แค่ เทาๆ อย่างงั้นก็เถอะ ยังพยายามจะเป็นสีอ่อนที่จะหยดลงไปในสีเทาให้มันเทาอ่อนลงมา มากกว่าจะเป็นสีเข้มที่ทำให้ความเทามันเพิ่มขึ้นอยู่นะ
ชักจะเครียดเกินไป แต่หนังสือนี้ก็เป็นเรื่องเครียดๆ อะนะ มุกตลกก็น้อย แถมยังอาจจะเฉพาะกลุ่มเกินไปอีก อ่านแล้วจะลุ้นไปกับปมที่คนเขียนหลอกล่อ และตื่นเต้นกับบทสรุปที่คาดเดาไม่ถึง เป็นหนังสือที่ต้องค่อยๆ ตั้งใจอ่าน ไม่งั้นจะงง แต่พอถึงจุดเครื่องติด เราก็อ่านรวดเดียวไม่หลับไม่นอนอีกเช่นเคย แถมต้องใช้เวลาอ่านหลายรอบ ถึงจะสนุกอีก นี่ชักไม่แน่ใจว่าเขียนชวนให้อ่าน หรือชวนให้หนีกันแน่
ชั้นหนังสือ mode I love Mr.Green (or grey in Thailand)
Subscribe to:
Posts (Atom)