Sunday, November 1, 2015
New York เมืองที่ทำให้ทึ่งได้เสมอ
เราเคยมาเยือน New York City เมื่อประมาณ 7 ปี ที่แล้ว ตอนนั้นก็คิดนะว่า เมืองนี้เป็นเมืองที่มีอะไรให้ทำ ให้ดู ให้สนุก เยอะแยะมากมายเต็มไปหมด
รอบที่สอง เป็นการพาพ่อไปเที่ยวนิวยอร์ก โดยออกเดินทางกันจากบอสตัน แต่แพลนเที่ยวแบบหลวมๆ เพราะไม่ชอบการเที่ยวแบบทัวร์ ตารางเต็มแน่น 6-7-8 (ตื่น 6 โมง กินข้าว 7 โมง ล้อหมุน 8 โมง) อะไรแบบนั้น กะว่าจะไปสนุกๆ
เริ่มต้นก็จองตั๋วรถทัวร์ Peter Pan โรงแรมก็จองออนไลน์ ทึ่งกับความแพงของโรงแรมในนิวยอร์ก นี่ยังไม่ได้นอนใน Manhattan เลยนะ อยู่ Brooklyn คือ... แพง ไม่ได้สัดส่วนกับขนาดห้อง และ อาหารเช้าเลย แต่ก็ทำไงได้ มาตรฐานเมืองเค้า
รถทัวร์จอดที่ terminal ซึ่งอยู่ใต้ดิน พอโผล่หน้ามาพบกับแสงแดดนิวยอร์กเท่านั้น ........ เดิน ค่ะ เดิน เมืองนี้ไม่ค่อยเปิดโอกาสให้คุณยืนนิ่งๆ ชมนกชมไม้นะ ถ้าอยู่บนถนน ต้อง เดิน เดิน ไปข้างหน้าเท่านั้น
โชคดีที่อากาศวันนั้นเป็นใจ เราเดินจาก Wall Street ไปทางทะเล กะว่าไปดู Brooklyn Bridge เพลินๆ ได้วิวพระอาทิตย์ตกที่สวยมากวันหนึ่ง
แม้ว่าพระอาทิตย์จะขึ้นและตกทุกวัน วันแต่ละวันก็ไม่เหมือนเดิม เช่นเดียวกับที่คนเราไม่สามารถย้อนอดีตกลับไปได้ เรื่องราว ผู้คน ที่ผ่านเข้ามาในแต่ละวัน ก็ทำให้พระอาทิตย์ตกในแต่ละวัน แตกต่างกันไปได้เสมอ
ครั้งแรกกับการนั่งเรือรอบเกาะ Manhattan เพื่อ say hi กับ คุณผู้หญิง Statue of Liberty ตอนแรกจะจองตั๋วแบบที่ขึ้นไปบน Statue ได้ด้วย แต่ปรากฏว่่า ตั๋วเต็มไปจนถึงพฤศจิกาแล้วจ้า (ตอนนั้นกรกฎาเอง) ก็เลยได้แค่พบสบตาแค่ไม่กี่นาที
Central Park เป็นสถานที่นึงใน NYC ที่ชอบมากๆๆ นะ แต่เดินได้ประมาณ 1 ใน 3 ของสวนทุกที ใหญ่ไป เหนี่อยซะก่อน
ประสบการณ์ก่อนกลับคือที่ Madison Square Park ประเด็นคือรถทัวร์กลับออกเย็นๆ แต่ check out โรงแรมมาแล้วไง ไปไหนดี จำได้ว่าเปิดดูทีวี ข่าวตอนเช้านั้น มีหัวข้อเรื่อง เด็กๆ นักเรียนจัด event การกุศลอะไรสักอย่าง ขาย lemonade เออ ไปดูก็ได้ เลยได้ไปนั่งเล่นตรง Madison Square Park ที่อยู่ใกล้ๆ กัน มีโต๊ะปิงปองวางอยู่กลางแจ้ง ละมีไม้ 2 อัน พร้อมลูกปิงปอง ก็เลยแข่งปิงปองกับพ่อ สนุกสนานฆ่าเวลาดี มันเท่ตรงโต๊ะมันอยู่กลางสวนเลย คนก็เดินผ่านไปมา คนมานั่งเล่นที่สวนก็เยอะ สองคนก็ตีปิงปองกันไป สวนมันไม่ได้ใหญ่มากมายอะไรนะ แต่เค้าก็ยังจัดที่เอามาทำเป็นมุมสีเขียวให้คนมาพักผ่อนกันได้ เมืองใหญ่ๆ ของอเมริกาเป็นแบบนี้หมดนะ มีที่สาธารณะให้คนมานั่งเล่นหลายที่มากๆ ตรงนี้คือจุดที่ชอบในประเทศนี้
NYC มีอะไรให้ทำอีกเยอะจริงๆ อีกรอบนึงก็พาแม่ไป ช่วงต้นซัมเมอร์ อากาศเหมาะกะการเที่ยวสุดๆ
คราวนี้วางแผนดี จองตั๋ว Statue of Liberty ล่วงหน้า แต่ขนาดจองก่อน 2-3 เดือน ก็ขึ้นไปได้แค่บนฐานของเทพีนะ คือ พอขึ้นไปบนเกาะ Liberty แล้ว มีพิพิธภัณฑ์ที่ตรงฐานของเทพีให้เข้าไปดูได้ ก็ขึ้นสูงไปประมาณตึก 3-4 ชั้น อยู่นะ แต่คิวที่จะขึ้นถึงยอดมงกุฎนั้น เต็มไปล่วงหน้าอีกหลายเดือน แต่แค่ได้ไปถึงเกาะ ละก็เดินดูวิวรอบๆ ก็สนุกแล้วนะ ตอนเช้าเหมือนว่าจะหมอกลง แต่สักพักก็โอเค แดดดีพอประมาณ
โปรแกรมต่อไป จัดชอปปิ้งมาให้คุณนายแม่ อันนี้ก็ไปถามคนช่างชอปปิ้งว่า ในตัวเมือง เค้าไปชอปที่ Century 21 ก็เลยต้องไปดูว่ามันเป็นยังไง เอาง่ายๆ มันคือ Macy แบบตลาดๆ กว่านิดนึง ขายทุกสิ่งอัน brand ดังก็มีบ้าง ราคาถูกกว่าปกตินิดหน่อย
ความพีคอยู่ที่ว่าวางแผนจะไป Rockefeller Center ต่อ จองทัวร์ของตึกและตั๋วขึ้นชมวิวเอาไว้ ก็เลยต้องหอบหิ้วถุงชอปปิ้งไปไหนไปกัน รู้สึกเป็น Asian Tourist style มาก 555++
Rockefeller Tour เจ๋งนะ เค้ามีไกด์พาเดินรอบๆ ดูศิลปะตามตึกต่างๆ พวกรูปปั้น รูปวาด รูปนูนต่ำที่ตกแต่งอยู่หน้าตึก เล่าประวัติการสร้าง ใช้เวลาประมาณชั่วโมงครึ่ง ส่วนวิวบน Top of the Rock ก็คุ้มค่าดี ได้เห็นพระอาทิตย์ตกดินในมุมที่พิเศษไปอีกวัน แล้วก็ได้เห็นตึก Empire ตอนกลางคืน
มา NYC ก็ต้องแวะมา Central Park ซึ่งเนื่องจากสวนมันใหญ่ แล้วคราวนี้ที่พักของเรามันใช้รถใต้ดินอีกสาย ก็เลยมาโผล่ตรงย่านที่ไม่คุ้น เดินตัดมาตรงสวนก็เกือบๆถึง MET ช่วงที่มาดอกไม้ออกดอกกันสวยงาม แม่ก็ตามถ่ายรูปดอกไม้ไปเรื่อย คาดว่าจะได้รูปไปทำ background สวัสดีเช้าวันใหม่กันไปทั้งปี 555
ตอนบ่ายก็เดินเล่นเรื่อยเปื่อยไปจนถึง Time Square (บ้านนี้ขาเดินบอกเลย ไม่ต่ำกว่า 30 block นะนั่น) เจอกองถ่ายหนังด้วย ได้ยืนดูเค้าถ่ายอยู่พักนึง
สุดท้ายก่อนกลับ ไป MET เป็นครั้งแรก เราชอบมาก นี่คือเป็นสายพิพิธภัณฑ์อยู่แล้ว การจัดวางและข้อมูลที่บอกว่าอะไรเป็นอะไร มีที่มาจากไหน บวกกับความทึ่งกับความสวยงาม ทำให้เราเพลินอยู่ได้ทั้งวัน ให้ไปอีกก็ได้นะ เดินยังไม่ทั่วเลย มิน่า พิพิธภัณฑ์ส่วนใหญ่จะมีให้ทำ membership จะได้เข้าเมื่อไหร่ก็ได้ตลอดปี คือถ้าอยู่ NYC คงทำไปละ
มีคำพูดว่า NYC เป็น International city เพราะรวบรวมคนหลากชาติหลายวัฒนธรรม คำพูดนี้ก็ไม่ผิดไปจากความจริงไปสักเท่าไหร่ เราชอบ NYC ตรงที่ถ้าจะทำ check list สิ่งที่น่ามาทำที่นี่ คงได้ list ยาวเป็นหางว่าว เป็นเมืองแห่งกิจกรรมจริงๆ
- New York เมืองที่ทำให้ทึ่งได้เสมอ -
Friday, October 10, 2014
First blog abroad!
เจ้าข้าเอ๊ย...กลับมาแล้วจ้า
ชีวิตออกเดินทางอีกครั้ง บันทึกบทใหม่คราวนี้ มีอเมริกาเป็นฉากหลัง ทุกอย่างเริ่มใหม่หมด ต้องค่อยๆ เรียนรู้กันไป อันนี้คือข้ออ้างที่ทำให้ชั้นหนังสือหายหน้าไปจาก blog
ถามว่าตอนนี้อ่านหนังสืออะไรใหม่บ้าง ขอบอกว่า แค่ reading assignment สำหรับ class ที่ลง 6 วิชา ที่นี่แล้ว ข้าน้อยก็ไม่เหลือพื้นที่ไว้ทำอะไรแล้วค่ะ ตอนนี้มีเพื่อนรู้ใจคนใหม่ ชื่อ คุณ Pappas เปิดทำการเป็น law school library ที่ดีสุดคือ อุ่นมาก ใส่ฮีทเต็มไปเลยพี่น้อง
จริงๆ มีเรื่องอยากเขียนเยอะไปหมด แต่นั่นแหละ ตัวขี้เกียจมันครอบงำ แต่ตอนนี้ ไฟในการเขียนมันกลับมาละ ขอเล่าเรื่องเพื่อเป็นการจดจำประสบการณ์ ต่อไปกลับมาอ่าน จะได้นึกถึง
ชั้นหนังสือ in Boston
Tuesday, July 29, 2014
ยมทูต
หนังสือที่จะมาเล่าให้ฟังวันนี้เป็นเล่มที่เล่าเรื่องเกี่ยวกับยมทูต พอดีช่วงนี้ฝนตกบ่อย เลยนึกถึงเล่มนี้ขึ้นมา
พอพูดถึงคำว่า ยมทูต คนเรามักจะนึกภาพเป็นอย่างไรนะ สำหรับเรา ก่อนอ่านเล่มนี้ ภาพลักษณ์ของยมทูตค่อนข้างจะโหดๆ มีเขี้ยว มีหัวกะโหลก ประกอบกับ ยมทูตที่รู้จักในการ์ตูนญี่ปุ่น เดธโน้ต ก็ออกจะฮาร์ดคอ และแฟนตาซีเหลือเกิน มีปีกงี้ หน้าตาน่ากลัวอีก ทำให้เรารู้สึกว่าคนญี่ปุ่นน่าจะมองยมทูตเป็นแบบแฟนซีๆ หน่อยนึงป่ะ ประหลาดใจเล็กน้อยที่ยมทูตในหนังสือชื่อ SHINIGAMI NO SEIDO ที่ชื่อไทยก็แปลออกมาตรงตัวเลย คือ ไม้บรรทัดของยมทูต ของคุณ Isaka Kotaro มาในรูปลักษณ์ที่แตกต่างออกไป
ยมทูตตัวเอกของเรื่อง ชื่อ ชิบะ หน้าตาเขาเหมือนกับมนุษย์ธรรมดาทั่วไป และยังเปลี่ยนไปทุกครั้งที่ออกมาทำงาน (ในที่นี้ก็คือประเมินความตายของมนุษย์) ในคำนำสำนักพิมพ์กล่าวไว้ว่า คุณอิซากะเขียนหนังสือมีสไตล์ และ เท่ ซึ่งเราเห็นด้วยมากเลย ส่วนคำนำสำนักพิมพ์กับคำนำผู้แปลนี่ก็เป็นส่วนที่น่าสนใจในหนังสือแต่ละเล่ม สมัยเด็กๆ เรามักข้าม ไม่อ่านคำนำด้วยแหละ เหมือนว่าเป็นใครก็ไม่รู้ ไม่เห็นเกี่ยวข้องกับเนื้อหาในเล่ม แต่พอโตขึ้นมา เรากลับนึกชอบอ่านคำนำ และรู้เลยว่าเป็นเรื่องท้าทายมากที่จะเขียนคำนำให้น่าสนใจ จะว่าไปตรงคำนำก็เป็นข้อความเดียวที่ผู้แปลสามารถใส่ตัวตนของตัวเองลงไปในถ้อยคำได้อย่างเต็มที่ เพราะส่วนที่เป็นเนื้อเรื่องที่แปลย่อมถูกจำกัดอยู่ภายใต้ความคิดของคนอื่น
ยมทูตชิบะของคุณอิซากะ เท่ มีสไตล์ไม่ซ้ำใครจริงๆ นะ ไม่รู้จะเขียนยังไงให้ไม่สปอยเนื้อเรื่องเหมือนกัน แต่ปลื้มกับความคิดของยมทูตชิบะมาก เขาคือชายผู้มากับสายฝน และจริงจังกับการทำงาน ในเล่มจะเป็นตอนย่อยๆ เล่าการทำงานแต่ละครั้งของยมทูตชิบะ ผู้คน สถานการณ์ที่เข้ามาในแต่ละตอนก็แตกต่างกันไป บางตอนก็ดูเป็นเรื่องรักโรแมนติก บางตอนก็เป็นนิยายสืบสวน บางตอนก็เหมือนให้กำลังใจ สรุปก็คือชอบเลยหล่ะ เป็นอีกเล่มที่หยิบอ่านบ่อย แล้วก็เทียวไปถามหาว่านิยายของคุณอิซากะมีแปลเพิ่มอีกไหม แต่ยังไม่สมหวัง ยังไม่มีเล่มอื่นๆ ออกมาอีก... รอต่อไป
เขียนในวันที่ฝนพรำ (แต่ร้อน) นี่แหละ เมืองฟ้ามหาอมร!!
Thursday, July 24, 2014
Mickey Haller
ขออภัยที่หายไปนาน ช่วงนี้เริ่มมีเวลาเอาหนังสือเก่าๆ มาอ่าน ย้อนความประทับใจก่อนที่จะต้องห่างบ้านไปอีกครั้ง และทำให้ไม่สามารถหยิบเอาหนังสือของตัวเองออกมาจากชั้นหนังสือมาอ่านแก้เหงาได้
หนังสือบางเล่มก็แปลกนะ อ่านรอบแรก ไม่ค่อยสนุกเท่าไหร่ แต่พอได้เอามาอ่านซ้ำ เออ มันสนุกขึ้นแฮะ หนังสือชุด 2 เล่ม ของ Michael Connelly เป็นเช่นนั้น
2 เล่มนี้ มีตัวเอกคนเดียวกัน คือ คุณทนายความคดีอาญามิกกี้ ฮาลเลอร์ ผู้เรียกตัวเองว่าเป็น Lincoln's Lawyer ชื่อเดียวกับเล่มแรก เจ้ารถ Lincoln นี่ จะออกแนวหรูๆ ดูอาเสี่ยขับนิดนึง
เนื้อหาเกี่ยวข้องกับระบบการพิจารณาคดีอาญา เราค่อนข้างห่างไกลกับระบบคดีอาญา และระบบของประเทศอเมริกาก็เป็นอะไรที่ห่างตัวไปอีก อ่านแล้วได้สาระเยอะทีเดียว และได้ยอมรับกับความจริงที่ว่า โลกกฎหมายอันอุดมคติที่รวดเร็ว เป็นธรรม นั้น มันอุดมคติจริงๆ นั่นแหละ ถ้าเป็นเด็กจบกฎหมายมาใหม่ๆ สมองเต็มไปด้วยหลักการและตัวบท คงจะรู้สึกแย่ๆ แต่เราก็เลยจุดนั้นมาแล้ว และคิดว่า สีขาวสีดำ มันไม่มีจริง ก็แค่ เทาๆ อย่างงั้นก็เถอะ ยังพยายามจะเป็นสีอ่อนที่จะหยดลงไปในสีเทาให้มันเทาอ่อนลงมา มากกว่าจะเป็นสีเข้มที่ทำให้ความเทามันเพิ่มขึ้นอยู่นะ
ชักจะเครียดเกินไป แต่หนังสือนี้ก็เป็นเรื่องเครียดๆ อะนะ มุกตลกก็น้อย แถมยังอาจจะเฉพาะกลุ่มเกินไปอีก อ่านแล้วจะลุ้นไปกับปมที่คนเขียนหลอกล่อ และตื่นเต้นกับบทสรุปที่คาดเดาไม่ถึง เป็นหนังสือที่ต้องค่อยๆ ตั้งใจอ่าน ไม่งั้นจะงง แต่พอถึงจุดเครื่องติด เราก็อ่านรวดเดียวไม่หลับไม่นอนอีกเช่นเคย แถมต้องใช้เวลาอ่านหลายรอบ ถึงจะสนุกอีก นี่ชักไม่แน่ใจว่าเขียนชวนให้อ่าน หรือชวนให้หนีกันแน่
ชั้นหนังสือ mode I love Mr.Green (or grey in Thailand)
หนังสือบางเล่มก็แปลกนะ อ่านรอบแรก ไม่ค่อยสนุกเท่าไหร่ แต่พอได้เอามาอ่านซ้ำ เออ มันสนุกขึ้นแฮะ หนังสือชุด 2 เล่ม ของ Michael Connelly เป็นเช่นนั้น
2 เล่มนี้ มีตัวเอกคนเดียวกัน คือ คุณทนายความคดีอาญามิกกี้ ฮาลเลอร์ ผู้เรียกตัวเองว่าเป็น Lincoln's Lawyer ชื่อเดียวกับเล่มแรก เจ้ารถ Lincoln นี่ จะออกแนวหรูๆ ดูอาเสี่ยขับนิดนึง
เนื้อหาเกี่ยวข้องกับระบบการพิจารณาคดีอาญา เราค่อนข้างห่างไกลกับระบบคดีอาญา และระบบของประเทศอเมริกาก็เป็นอะไรที่ห่างตัวไปอีก อ่านแล้วได้สาระเยอะทีเดียว และได้ยอมรับกับความจริงที่ว่า โลกกฎหมายอันอุดมคติที่รวดเร็ว เป็นธรรม นั้น มันอุดมคติจริงๆ นั่นแหละ ถ้าเป็นเด็กจบกฎหมายมาใหม่ๆ สมองเต็มไปด้วยหลักการและตัวบท คงจะรู้สึกแย่ๆ แต่เราก็เลยจุดนั้นมาแล้ว และคิดว่า สีขาวสีดำ มันไม่มีจริง ก็แค่ เทาๆ อย่างงั้นก็เถอะ ยังพยายามจะเป็นสีอ่อนที่จะหยดลงไปในสีเทาให้มันเทาอ่อนลงมา มากกว่าจะเป็นสีเข้มที่ทำให้ความเทามันเพิ่มขึ้นอยู่นะ
ชักจะเครียดเกินไป แต่หนังสือนี้ก็เป็นเรื่องเครียดๆ อะนะ มุกตลกก็น้อย แถมยังอาจจะเฉพาะกลุ่มเกินไปอีก อ่านแล้วจะลุ้นไปกับปมที่คนเขียนหลอกล่อ และตื่นเต้นกับบทสรุปที่คาดเดาไม่ถึง เป็นหนังสือที่ต้องค่อยๆ ตั้งใจอ่าน ไม่งั้นจะงง แต่พอถึงจุดเครื่องติด เราก็อ่านรวดเดียวไม่หลับไม่นอนอีกเช่นเคย แถมต้องใช้เวลาอ่านหลายรอบ ถึงจะสนุกอีก นี่ชักไม่แน่ใจว่าเขียนชวนให้อ่าน หรือชวนให้หนีกันแน่
ชั้นหนังสือ mode I love Mr.Green (or grey in Thailand)
Subscribe to:
Posts (Atom)